จับตาอุตสาหกรรมค้าปลีกที่จะเปลี่ยนทุกประสบการณ์ด้วย 5G & Cloud

              แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจโลกภาพรวมจะอยู่ในช่วงชะลอตัว แต่เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลาย ๆ ด้านกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ จุดนี้ทำให้ภาคอุตสาหกรรมค้าปลีกมองเห็นโอกาส จึงเร่งเครื่องเดินหน้าเพื่อขยายศักยภาพการเติบโตในธุรกิจทันที โดยมุ่งเน้นปรับตัวไปสู่ระบบ Supply Chain 4.0 และเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมค้าปลีกปรับตัวสู่ความเป็นธุรกิจดิจิทัลได้อย่างเต็มรูปแบบตามเป้าหมายก็คือ เทคโนโลยี 5G & Cloud ที่นับว่าเป็นโซลูชันสำคัญที่จะเข้ามาช่วยสร้างความแตกต่างอย่างเหนือชั้น เปลี่ยนทุกประสบการณ์ให้ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้นกว่าเดิม นับจากนี้ 5G & Cloud จะสามารถยกระดับอุตสาหกรรมค้าปลีกในแง่มุมไหนได้บ้าง มาติดตามกัน

5G & Cloud โซลูชันที่ช่วยลดความซับซ้อนและต้นทุนของภาคค้าปลีก

              อุตสาหกรรมค้าปลีกจำเป็นต้องเร่งปรับระบบการทำงานของตนเองให้สอดคล้องและเชื่อมโยงไปกับภาคโลจิสติกส์ที่อยู่ใน Supply Chain ของธุรกิจ ซึ่งขณะนี้ภาคอุตสาหกรรมโลจิสติกส์กำลังก้าวเข้าสู่การเป็น Smart Logistics ที่มาในรูปแบบของคลังสินค้าอัจฉริยะ (Smart Warehouse) และการมีศูนย์กระจายสินค้าอัจฉริยะ (Smart Distribution Centre) และเพื่อให้เป็นไปตามแนวทางของ Supply Chain 4.0 ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมค้าปลีกชั้นนำจึงได้นำเทคโนโลยี 5G และ Cloud รวมไปถึงเทคโนโลยีการประมวลผลแบบ Edge Computing เข้ามาบูรณาการใช้งานร่วมกัน เพื่อยกระดับการทำงานให้กลายเป็น Smart Retail สอดรับกับระบบโลจิสติกส์อัจฉริยะ โดยผู้ประกอบการอุตสาหกรรมค้าปลีกมีการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ปรับปรุงระบบการทำงานภายในธุรกิจในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้

              1. เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง การจัดการระบบสินค้าคงคลังนั้น ถือเป็นความท้าทายสำคัญของภาคธุรกิจค้าปลีกเลยก็ว่าได้ การดำเนินงานในส่วนนี้มีความซับซ้อนอยู่มากพอสมควร เพราะในปัจจุบันกิจกรรมการซื้อขายเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทำให้ข้อมูลในส่วนนี้จำเป็นจะต้องอัปเดตแบบเรียลไทม์อยู่เสมอ เทคโนโลยี 5G & Cloud จึงถือว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อระบบการดำเนินงานบริหารจัดการสินค้าคงคลังของภาคค้าปลีก ข้อมูลสินค้าคงคลังจะถูกจัดเก็บไว้บน Cloud เพื่อความสะดวกในการบริหารจัดการจากระยะไกลที่สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา เมื่อมีคำสั่งซื้อเข้ามา พนักงานก็จะต้องดึงเอาข้อมูลจาก Cloud มาใช้เพื่อตรวจสอบว่าสินค้ายังมีอยู่ในคลังหรือไม่ ถ้าสินค้ายังมีก็ต้องป้อนข้อมูลเอกสารใบสั่งซื้อกลับไปที่ Cloud การรับ-ส่งข้อมูลตรงจุดนี้ก็จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีเครือข่าย 5G ที่รวดเร็วและมีความเสถียร เพื่อให้การรับ-ส่งข้อมูลเป็นไปอย่างราบรื่น รวดเร็วตอบสนองการทำงานที่เร่งรีบได้ทัน

              ขณะเดียวกันการตรวจสอบสินค้าคงคลัง ทั้งการนำสินค้าออกและการเติมสินค้าเข้าในคลังสินค้าหลาย ๆ แห่งก็จะเป็นขั้นตอนที่เกิดขึ้นไปพร้อม ๆ กันด้วย ภาคธุรกิจค้าปลีกจึงนำเอาการประมวลผลแบบ Edge Computing เข้ามาใช้ร่วมกับเทคโนโลยี 5G & Cloud ให้เกิดความสอดคล้องกัน ช่วยให้การประมวลผลข้อมูลทำได้เร็วขึ้น องค์กรธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่หลายแห่งมีการนำนวัตกรรมอย่าง Robotics Automation หรือหุ่นยนต์คลังสินค้าที่เป็นอุปกรณ์ IoT เข้ามาใช้งานด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับเคลื่อนย้ายสินค้าให้สะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งตรงนี้ 5G มีบทบาทอย่างมากที่ช่วยให้การเชื่อมต่อเป็นไปอย่างราบรื่น นอกจากนั้นแล้ว 5G ที่เร็วและเสถียรยังช่วยให้การประมวลผลข้อมูลเกิดความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้การวิเคราะห์คาดการณ์เกี่ยวกับระบบสินค้าคงคลังมีความละเอียดแม่นยำ ทำให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องว่า ควรจะต้องเติมสินค้าเข้าไปที่คลังใดบ้าง เพื่อให้สินค้ามีเพียงพอต่อความต้องการ ไม่เกิดสถานการณ์สินค้าขาดสต๊อก สามารถอัปเดตข้อมูลสินค้าคงคลังไปสู่แพลตฟอร์มการขายได้อย่างเรียลไทม์ รวมถึงเชื่อมโยงกับระบบคลังสินค้าอัจฉริยะและระบบการติดตามสินค้าของภาคโลจิสติกส์ได้ด้วย เท่ากับว่าส่งผลดีต่อการบริหารจัดการสินค้าคงคลังนั่นเอง

              2. ปรับปรุงความปลอดภัยของข้อมูล ความปลอดภัยของข้อมูลเป็นหนึ่งประเด็นสำคัญที่ไม่ว่าภาคอุตสาหกรรมใดก็ให้ความสำคัญ ยิ่งอุตสาหกรรมค้าปลีกที่มีข้อมูลซึ่งถูกสร้างขึ้นใหม่ทุกวันจากคำสั่งซื้อของลูกค้า ทำให้ยิ่งต้องใส่ใจในเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมค้าปลีกจึงอาศัยพลังของ 5G & Cloud เข้ามาช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการรับส่งข้อมูล ทั้งข้อมูลของลูกค้า ข้อมูลคำสั่งซื้อ ข้อมูลสต๊อกสินค้า มีผู้ประกอบการภาคค้าปลีกจำนวนไม่น้อยที่ใช้การเชื่อมต่อด้วยเครือข่าย 5G Private Network ที่เปรียบเสมือนเครือข่ายส่วนตัว เป็นการเพิ่มความปลอดภัยในระดับแรก และมีการเลือกโซลูชันเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบ Cloud อีกหนึ่งชั้น เป็นการเพิ่มความปลอดภัยของการปกป้องข้อมูลขั้นสูงสุดให้กับองค์กรและลูกค้าของธุรกิจในอีกระดับ

              3. ลดต้นทุนและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรให้ธุรกิจ การลงทุนในเทคโนโลยี 5G & Cloud ของภาคธุรกิจค้าปลีกจัดว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เนื่องจากว่าการนำเทคโนโลยีในส่วนนี้มาใช้ สามารถช่วยให้ภาคธุรกิจค้าปลีกลดค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีภายในองค์กร ลดค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่จะเชื่อมไปกับระบบโลจิสติกส์ภายนอกองค์กร ลดต้นทุนในการจัดซื้อฮาร์ดแวร์พื้นที่จัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ และยังสามารถลดต้นทุนในด้านการจัดซื้อระบบประมวลผลข้อมูลไปได้มาก เมื่อลดต้นทุนธุรกิจได้ ก็ทำกับว่าเป็นการเพิ่มโอกาสในการทำกำไรให้กับธุรกิจมากขึ้นนั่นเอง

สร้างประสบการณ์ใหม่แบบผสมผสานให้กับลูกค้าด้วย 5G & Cloud

              นอกจาก 5G & Cloud จะถูกนำมาใช้ในแง่มุมของการปรับปรุงการดำเนินภายในองค์กรแล้ว ภาคธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ยังนำเทคโนโลยีดังกล่าวนี้มาใช้เพื่อประสบการณ์ใหม่แบบผสมผสานให้กับลูกค้า ทำให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในทุกรูปแบบได้อย่างรวดเร็วและครบถ้วนมากกว่าเดิมด้วย โดยตั้งแต่ปี 2023 นี้เป็นต้นไป เราจะได้เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในการมอบประสบการณ์ใหม่ ๆ ในการซื้อสินค้าให้กับลูกค้าของภาคธุรกิจค้าปลีกมากขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงอาจจะไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโฉมอย่างรวดเร็ว แต่จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ลูกค้าทำความรู้จักให้คุ้นชินกันเสียก่อน โดยอาจจะมีตั้งแต่

              1. ค้าปลีกออนไลน์ที่โต้ตอบกับลูกค้าได้แบบเรียลไทม์ ผู้ประกอบการค้าปลีกจะนำ 5G & Cloud มาผสานเข้ากับเทคโนโลยี Web3.0 ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Blockchain ทำให้เกิดเครือข่ายแพลตฟอร์มร้านค้าที่ปลอดภัย โปร่งใส องค์กรสามารถโต้ตอบกับลูกค้าหรือดูแลได้แบบเรียลไทม์ สร้างประสบการณ์สั่งซื้อสินค้าแบบออนไลน์ที่ใกล้เคียงกับการที่ลูกค้าไปซื้อสินค้าด้วยตนเองที่ร้านแบบออฟไลน์ โดยที่ทางผู้ประกอบการค้าปลีกสามารถที่จะควบคุมข้อมูล และดูแลความปลอดภัยข้อมูลของลูกค้าได้ด้วยตนเอง ขณะที่ระบบการซื้อขายทุกอย่างก็จะโปร่งใสขึ้น ลูกค้าสามารถที่จะติดตามสถานะสินค้าที่ตนเองสั่งซื้อไปได้ตลอดเวลาจนกว่าสินค้าจะถึงมือ

              2. นำเสนอสินค้าได้ตรงกับใจลูกค้ามากขึ้น ในปีนี้อุตสาหกรรมค้าปลีกระดับโลกกำลังจับจ้องไปที่เทคโนโลยี Quantum Computing ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำไปอีกขั้น และจะทำให้ AI มีความอัจฉริยะมากขึ้น เพราะ Quantum Computing สามารถทำการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำแตกต่างไปจากเดิมหลายเท่า ทำให้การคาดการณ์แนวโน้มความต้องการของลูกค้าทำได้อย่างแม่นยำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวนี้ก็ตั้งอยู่บนฐานของ 5G & Cloud เช่นกัน ระบบนี้อาจถูกนำไปเสริมศักยภาพให้กับ AI ทำให้ผู้ประกอบการสามารถคาดการณ์ได้เลยว่า ลูกค้าแต่ละคนต้องการอะไร จะต้องนำเสนอสินค้าอะไร แบบไหน และนำเสนอในช่วงเวลาไหนถึงจะเหมาะสม ซึ่งไม่เพียงแต่จะเพิ่มโอกาสการขายให้กับธุรกิจ แต่ยังเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ที่น่าประทับใจในการซื้อสินค้าให้กับลูกค้าอีกด้วย

              3. เปิดประสบการณ์ซื้อสินค้าแบบ Interactive แม้จะยังไม่มีใครทราบอย่างชัดเจนว่า Metaverse จะเกิดขึ้นจริงเมื่อไหร่ แต่สำหรับภาคอุตสาหกรรมค้าปลีกแล้ว เชื่อว่า Metaverse จะกลายเป็นแนวโน้มใหม่ที่สำคัญของอุตสาหกรรม และจะเป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนมิติการซื้อสินค้าของลูกค้าไปอย่างสิ้นเชิง ขณะนี้ผู้ประกอบการค้าปลีกขนาดใหญ่ระดับโลกกำลังวางแผนสร้างมิติการค้าปลีกใหม่โดยการเปิดร้านค้าบน Metaverse โดยรายงานของ Market Research Future คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดของเทคโนโลยีโลกเสมือนในธุรกิจภาคค้าปลีกจะสูงถึง 19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 สัดส่วนตั้งแต่ปี 2020 จนถึง 2030 ถือว่าตลาดจะขยายตัวขึ้นถึง 25%[1]และเบื้องหลังที่จะทำให้เทคโนโลยีโลกเสมือนทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพก็คือ Tech 5G & Cloud นั่นเอง

[1] Market Research Future, “Virtual Reality in Retail Market”, From: https://www.marketresearchfuture.com/reports/virtual-reality-retail-market-3805

              ต้องถือว่านับจากนี้ไป Tech 5G & Cloud จะมีบทบาทอย่างมากกับธุรกิจค้าปลีก ดังนั้นการจะก้าวสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมค้าปลีก จึงไม่ควรมองข้ามการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยพลังของเครือข่าย 5G รวมถึงเทคโนโลยี Cloud และ AIS Business ก็พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการในภาคธุรกิจค้าปลีกให้เข้าไปสู่การเป็น Smart Retail ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยบริการโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และเชื่อถือได้ ด้วยความพร้อมเต็มรูปแบบของ Intelligent Network ,โครงข่าย 5G, Cloud Platforms, และ Cyber Security เพื่อการทำงานของภาคธุรกิจ อีกทั้งยังมีบุคลากรที่เชี่ยวชาญพร้อมส่งมอบบริการด้าน ICT  ที่พร้อมตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจค้าปลีกอย่างครอบคลุม เราจึงมั่นใจว่าจะเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในการผลักดันผู้ประกอบการค้าปลีกไทยให้เดินไปข้างหน้าได้อย่างมีศักยภาพและมั่นคง

วันที่เผยแพร่ 7 มิถุนายน 2566    

Reference

  1. Bayretail, “TOP 10 Retail Tech Trends to Watch for in 2023”, From: https://www.bayretail.io/blog/top-10-retail-tech-trends-to-watch-for-in-2023
  2. Jean-Emmanuel Biondi and Ajit Prabhu, “Take 5: 5G in retail”, From: https://www2.deloitte.com/us/en/pages/consulting/articles/5g-in-retail.html
  3. Kaushal Naik, “How Cloud Computing is Transforming the Retail Sector”, From: https://www.einfochips.com/blog/how-cloud-computing-is-transforming-the-retail-sector/
  4. Market Research Future, “Virtual Reality in Retail Market”, From: https://www.marketresearchfuture.com/reports/virtual-reality-retail-market-3805

AIS Business พร้อมเป็นพันธมิตรดิจิทัล ที่มั่นใจได้ เพื่อพัฒนาธุรกิจและสังคมไทย
เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน
"Your Trusted Smart Digital Partner"

ปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจได้ที่
Email : [email protected]
Website : https://www.ais.th/business

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อแนะนำโซลูชันที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ 

สามารถติดต่อผู้เชี่ยวชาญจาก AIS Business เพื่อให้คำปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล 
สำหรับรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจได้ทันที