เนื่องจากมีบริษัท ที่มิได้รับการแต่งตั้งเป็น Master Agent จาก บริษัทแอดวานซ์ เอ็มเปย์ จำกัด แอบอ้างใช้เครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายบริการ เพื่อขายชุดอุปกรณ์รับชำระ

การกระทำดังกล่าวถือเป็นการทำละเมิดทางแพ่ง และกระทำความผิดทางอาญาตามประมวล กฏหมายอาญา และพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้เกิด ความเสียหายต่อบริษัทฯ บริษัทฯ จำเป็นที่จะต้องดำเนินการตามกฏหมายต่อไป

บริษัทฯ ขอชี้แจงให้ทราบว่า บริษัทฯ มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขายชุดอุปกรณ์รับชำระแต่อย่างใด สามารถตรวจสอบรายชื่อบริษัทที่ได้รับการแต่งตั้งเป็น Master Agent และมีสิทธิทำธุกิจขายชุด อุปกรณ์รับชำระได้ ผ่าน mPAY STATION Contact Center 02-078-9299 07.00-22.00 น. ทุกวัน

บริษัท แอดวานซ์ เอ็มเปย์ จำกัด ขอแจ้งให้ทราบว่า ทางบริษัทฯ ไม่มีนโยบายสนับสนุนการ ทำธุรกิจในรูปแบบลักษณะแชร์ลูกโซ่ หรือประกอบธุรกิจผิดกฏหมายใดๆ หรือประกอบธุรกิจ อื่นๆ นอกจากรูปแบบ วิธีการ และขั้นตอนการให้บริการที่ทางบริษัทฯ ได้กำหนดไว้ และ/หรือ ที่บริษัทฯ จะได้กำหนดแก้ไขเพิ่มเติม

ดังนั้นหากทางบริษัทฯ พบว่าตัวแทนเอ็มเปย์ สเตชั่น นำการให้บริการชำระเงินค่าสินค้า/ บริการของบริษัทฯ ไปประกอบธุรกิจลักษณะดังกล่าว และบริษัทฯ พิจารณาแล้วว่าอาจมีความ เสี่ยงที่อาจจะทำให้บริษัทฯ และ/หรือ ผู้ใช้บริการได้รับความเสียหาย ทางบริษัทฯ จะ ดำเนินการยกเลิกการเป็นตัวแทนของท่านโดยทันที

รหัสผ่าน (Password) และ รหัสส่วนตัว (PIN) ถือเป็นความลับ หากมีการทำ รายการใดๆ โดยใช้รหัสดังกล่าว บริษัทฯถือว่าเป็นการกระทำที่เกิดจาก Agent เอง ดังนันควรเปลี่ยนอยู่เสมอเพื่อความปลอดภัย

ช่องทางการเปลี่ยนรหัส

• เว็บไซต์ www.ais.co.th/mpaystation
  • Log in เข้าระบบ ที่เมนู Agent Log in
  • เลือกเมนู "ข้อมูลส่วนตัว"
• โทรศัพท์มือถือ
  • กด*555 โทรออก
  • กด 6 "เปลี่ยนรหัสส่วนตัวและขอ Password"

หมายเหตุ: รหัสผ่านที่ได้จากการทำผ่านโทรศัพท์มือถือจะเป็นรหัสชั่วคราว Agent ต้องเข้าไปเปลี่ยนรหัสใหม่ผ่านเว็บไซต์

ขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการทุกท่านในการหยุดนำ SIM Card ไปใช้ กับตู้เติมเงินออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 เป็นต้นไป

สอบถามเพิ่มเติม mPAY Station Contact Center 02 -078-9299 07.00-22.00 น. ทุกวัน

เนื่องด้วย บริษัท แอดวานซ์ เอ็มเปย์ จำกัด ได้แก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงในสัญญาตามที่อ้างถึง ให้สอดคล้องกับ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และนโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ กลุ่มเอไอเอส ดังนี้

"คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงควบคุมดูแลการใช้และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 ประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการคุ้มครองสิทธิของผู้ใช้บริการโทรคมนาคมเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลสิทธิในความเป็นส่วนตัว และเสรีภาพในการสื่อสารถึงกันโดยทางโทรคมนาคม พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 รวมถึงกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง ประกาศ และเงื่อนไขต่างๆ ของหน่วยงานราชการ หรือหน่วยงานอื่นใดที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรการเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งใช้บังคับอยู่แล้วในขณะนี้และที่จะได้ออกใช้บังคับต่อไปในภายหน้า และตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ตลอดจนดำเนินการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ตามมาตรการที่เทียบเท่าหรือไม่ต่ำกว่านโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ กลุ่มเอไอเอส ที่แนบท้ายนี้"

ทั้งนี้ ให้ข้อตกลงนี้ มีผลใช้บังคับนับแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป และให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาและนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในหนังสือนี้แล้ว ให้ใช้บังคับตามสัญญาทุกประการ

ข้อตกลงในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล  
1. คำนิยาม
1.1 "ข้อมูลส่วนบุคคล" หมายความว่า ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
1.2 "สัญญา" หมายถึง สัญญา ข้อตกลง ตลอดจนนิติกรรมใดๆ ระหว่างผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลกับ ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
1.3 "ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล" หมายถึง กลุ่มบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตัดสินใจเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
1.4 "ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล" หมายถึง บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่เข้าทำสัญญากับผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง คู่ค้า ตัวแทน ผู้รับจ้าง ผู้ให้บริการ ที่ปรึกษาของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล และเป็นผู้ดำเนินการเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามคำสั่งหรือในนามของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล  

2. ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวกับการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลและตามข้อตกลงฯ นี้ ดังต่อไปนี้
2.1 ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลต้องกำกับ ดูแล การปฏิบัติหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลให้เป็นไปตามสัญญา คำสั่ง และตามวัตถุประสงค์ที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลกำหนดเท่านั้น
2.2 ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลต้องกำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ในการการดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล ของพนักงาน ลูกจ้าง ตัวแทน และ/หรือผู้รับจ้างของผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลให้เป็นตามที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด และตกลงจัดทำ เก็บรักษาบันทึกรายการของ การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลไว้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายกำหนดทั้งในขณะนี้และในภายภาคหน้า และต้องสามารถส่งมอบบันทึกรายการดังกล่าวให้แก่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลได้ทันทีที่ได้รับการร้องขอจากผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล
2.3 ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลขอรับรองและตกลงว่าจะไม่ทำการเก็บรวบรวม ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์อื่น นอกเหนือจากการดำเนินการที่จำเป็นเพื่อวัตถุประสงค์ของสัญญาเท่านั้น
2.4ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องจัดให้มีมาตรการรักษาความปลอดภัยสำหรับข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความเหมาะสม โดยมาตรการดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงลักษณะ ขอบเขต และวัตถุประสงค์ของสัญญาและเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจากความเสี่ยงต่อการถูกทำลาย การสูญหาย การเปลี่ยนแปลง การเปิดเผย การโอน หรือ การเก็บข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งต้องบริหารจัดการข้อมูลส่วนบุคคลที่อยู่ในความรับผิดชอบของผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ให้เป็นไปตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ระเบียบและประกาศที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนดำเนินการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ตามมาตรการที่เทียบเท่าหรือไม่ต่ำกว่านโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ กลุ่มเอไอเอส  
2.5กรณีที่ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลพบว่ามีการละเมิดต่อความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งอาจก่อให้เกิดการทำลาย การสูญหาย การเปลี่ยนแปลง การเปิดเผย การโอน หรือ การเก็บข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลตกลงแจ้งให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลทราบ ภายในระยะเวลา 24 (ยี่สิบสี่) ชั่วโมง นับจากทราบถึงเหตุการณ์ดังกล่าว
2.6ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ตกลงให้ข้อมูลแก่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเพียงพอเพื่อให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล สามารถรายงานหรือแจ้งต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
2.7ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลต้องส่งคืนข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงสำเนาของข้อมูลดังกล่าว (หากมี) ให้แก่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ภายใน 7 (เจ็ด) วัน นับตั้งแต่วันที่สัญญาสิ้นสุดลง หรือนับตั้งแต่วันที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลมีคำสั่ง หรือต้องทำลายข้อมูลส่วนบุคคลตามนโยบายมาตรฐานขั้นต่ำตามที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด โดยผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลต้องแสดงหลักฐานการทำลายเป็นหนังสือให้แก่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ภายใน 7 (เจ็ด) วัน นับตั้งแต่วันที่สัญญาดังกล่าวนั้นสิ้นสุดลง
2.8ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ไม่มีสิทธิโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังประเทศอื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลก่อน  

3. ข้อตกลงฯ นี้ให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญา หากผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลฝ่าฝืนหรือปฏิบัติผิดข้อตกลงฯ นี้ ถือว่าผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลปฏิบัติผิดสัญญาด้วย และผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิบอกเลิกสัญญา และเรียกร้องค่าเสียหายทั้งหมดได้ทันที